คนเลี้ยงควาย(ฉบับปรับปรุง)
เล่าเรื่องราววิถีชีวิตของคนในชนบททางภาคอีสานในยุคปัจจุบันความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีเข้ามามีบทบาทกับการเก็บเกี่ยวผลผลิตทางการเกษตรมากขึ้นเรื่อยๆ ควายเครื่องมือทำมาหากินที่มีชีวิตเริ่มมีบทบาทน้อยลง
ผู้เข้าชมรวม
123
ผู้เข้าชมเดือนนี้
4
ผู้เข้าชมรวม
เสียงเพลงโปรดเถิดดวงใจของทูล ทองใจ ดังขึ้นจากเครื่องกระจายเสียงที่บ้านของผู้ใหญ่บ้านโศกไพศาลในตอนฟ้าใกล้จะสาง เสียงเพลงเปิดขึ้นเพื่อเป็นการดึงดูดความสนใจจากชาวบ้าน ก่อนที่ผู้ใหญ่บ้านจะประกาศข่าวให้ลูกบ้านทราบ
ยายถ้ำหญิงวัยกลางคนเจ้าของร้านอาหารตามสั่งกับร้านสะดวกซื้อ เธอกำลังซ่ายข้าวเหนียวรีบเตรียมตัวใส่บาตรในตอนเช้าๆ ตักข้าวเหนียวใส่ในกระติ๊บเรียบร้อย เธอเดินไปนั่งรอใส่บาตรที่ม้าหินอ่อนหน้าบ้าน
ตาเหนอชายชรามีผิวพรรณส่วนที่ไม่ได้มีเสื้อผ้าปกคลุมไหม้เกรียมเนื่องจากตากแดดตอนดำนาและเกี่ยวข้าว แกรูปร่างอ้วนใส่หมวกฟาง สวมเสื้อแบบติดกระดุมสีเทาซีดๆเนื่องจากความเก่า สวมกางเกงขาก๊วย เดินจูงควายข้ามสี่แยกมายังหน้ายายถ้ำ แต่ควายกลับหยุดยืนหน้ายายถ้ำเพื่อขี้ไว้บนถนนคอนกรีตแห่งนั้น กลิ่นที่โชยมาเข้าจมูกของยายถ้ำราวกับเป็นการจุดชนวนให้โทสะของแกระเบิดขึ้น
"ที่อื่นมีเยอะแยะกลับมาขี้ใส่หน้าบ้านกูน่ะมึง"
ยายถ้ำตะโดนด่าควายตัวนั้น ตาเหนอได้ยินแล้วก็ได้แต่นิ่งเงียบทำเป็นหูทวนลม ตาเหนอจูงควายมาผูกไว้กับหลักที่ตอกไว้ด้านนอกของหมู่บ้านเพื่อให้มันกินหญ้า เสร็จแล้วก็เดินกลับบ้าน มันเป็นกิจวัตรประจำของแกในตอนเช้า แกนึกถึงตอนเป็นหนุ่ม แกเดินออกจากบ้านแค่ไม่กี่ก้าวก็เจอกับป่ากับหญ้าในหมู่บ้านของเขามีบ้านอยู่ไม่กี่หลัง เวลาเพียงแค่ไม่กี่สิบปีกลับเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วมาก
บ้านของตาเหนอเป็นบ้านไม้ยกพื้นสูง ชั้นล่างเต็มไปด้วยขี้ควาย,กองฟางและคันไถที่วางพิงไว้กับเสา บ้านเดื่อศรีคันไชยถูกแยกออกเป็น3หมู่บ้านคือ บ้านท่าเดื่อ บ้านปานเจริญ บ้านโศกไพศาล ซึ่งในยุคนายกทักษิณกำลังบริหารบ้านเมืองมีโนบายให้ชาวบ้านยืมเงินหมู่บ้านล่ะหนึ่งล้านบาทนั้นคือเหตุผลว่าทำไมต้องแยกเป็นหลายหมู่บ้าน ในฤดูฝนคนในหมู่บ้านปานเจริญที่ยึดอาชีพทำนาเกือบหมดทุกคนหันมาใช้รถไถนากันหมดแล้ว ยกเว้นก็แต่ตาเหนอคนเดียวเนี้ยแหละที่ยังใช้ควายไถนา บางคนมีรถเกี่ยวข้าวด้วยซ้ำไป
วิถีชีวิตของคนแก่ในภาคอีสานเป็นวิถีชีวิตที่เรียบง่าย พอว่างจากการทำไร่ทำนาก็กลับมานอนที่แคร่ใต้ถุนบ้านตัวเอง ถ้าเป็นบรรดาคุณย่าคุณยายคงหนี้ไม่พ้นเรื่องจับกลุ่มนินทาคนในหมู่บ้านของตัวเอง คนนั้นเป็นอย่างนี้ คนนี้เป็นอย่างนั้น พวกหล่อนรู้เรื่องคนอื่นไปหมดทุกเรื่องยกเว้นเรื่องของตัวเอง ตอนช่วงฤดูดำนากับตอนช่วงฤดูเกี่ยวข้าว ลูกหลานที่ยังหนุ่มยังสาวยังพอมีเรี่ยวมีแรงจะกลับจากกรุงเทพมาช่วยพ่อแม่ดำนากับเกี่ยว พอทำเสร็จเรียบร้อยก็กลับไปทำงานโรงงานที่กรุงเทพเหมือนเดิม ปล่อยให้พ่อแม่อ้างว้างอยู่ที่บ้าน
ฤดูหนาวมาถึงที่หลังบ้านของตาเหนอมีตอฟางข้าวอยู่เรียงรายในทุ่งกว้างกลางหมู่บ้านซึ่งกำลังเริ่มแคบเข้าเรื่อยๆ เนื่องจากชาวบ้านได้ปลูกบ้านแถวนั้นเพิ่มมากขึ้น
ต้นมะขามใหญ่ตั้งตระหง่านอยู่กลางทุ่งแห่งนั้น ภายใต้ร่มเงาของมันมีมัดข้าวที่พึ่งเกี่ยวเสร็จใหม่ๆวางเรียงกันเป็นกอง ตาเหนอนำท่อนไม้สองอันผูกเชื่อมกันด้วยเชือกเหมือนไม้กระพองของบรูซ ลี ลุงแกเอาท่อนไม้เหล่านั้นมาขัดกับมัดข้าวแล้วตีลงกับแผ่นไม้แรงๆหลายต่อหลายรอบจนเมล็ดข้าวหลุดออกหมด ชาวบ้านคนอื่นเขาพากันใช้รถสีข้าวกันหมดแล้ว แต่แกยังยึดถือวิธีการโบร่ำโบราณนี้อีกอยู่
พ่อตาเหนอชื่อว่าตาสายได้เสียชีวิตไปแล้วหลายปี ในปีนี้ตาเหนอพึ่งจะสะสมเงินจากการขายข้าวเปลือกได้พอเพื่อที่จะทำบุญหาพ่อ การทำบุญอุทิศส่วนกุศลหาญาติที่ตายไปแล้วในทางภาคอีสานนั้น ญาติๆที่ยังมีชีวิตอยู่จะนำเงินมารวมกันเพื่อทำอาหารเลี้ยงฉลองชาวบ้าน อาหารจะเป็นเมนูประเภท ลาบ ก้อย ซอยแซ่ ลาบเลือด ซกเล็ก เป็นต้น
บรรดาเซียนพนันไพ่หรือไม่ก็ไฮโลในหมู่บ้านพอได้ยินว่าวันนี้มีเฮือนดีต่างก็รีบมารวมตัวกันในงานบุญ เซียนพนันพวกนี้เล่นกันข้ามวันคืนอย่างไม่รู้จักเหน็ดจักเหนื่อย ขนาดไม่มีเงินเล่นยังไปขอยืมเงินจากเพื่อนบ้านมาเล่น อะไรจะใจรักปานนั้น (บ้านหลังที่กำลังทำบุญอย่างที่ว่าเรียกว่า"เฮือนดี"ในภาษาอีสาน)
ทุ่งนาที่เวิ้งว้างว่างเปล่าถูกใช้เป็นที่ตั้งเวทีหมอลำซิ้งที่มีหางเครื่องสาวๆวัยรุ่นมาเต้นกระเดาโชว์เอวบางร่างน้อย อวดขาอ่อน ผู้ชายในหมู่บ้านไม่ว่าจะเป็นหัวหงอกหรือหัวดำต่างก็อยากรับดูรับชมพร้อมกับการดื่มเหล้าขาว พอเหล้าเข้าปากเท่านั้นแหละ เมากันได้ที่แล้วนึกคึกอยากเต้นโชว์ความกร่างของตัวเองที่หน้าเวทีหมอลำ เต้นกันอย่างเมามันส์ สักพักมีกลุ่มวัยรุ่นจากหมู่บ้านอื่นอยากมาขอเข้าร่วมวงด้วย แต่วัยรุ่นเจ้าถิ่นไม่ชอบขี้หน้าเลยต้องจัดเวทีมวยขนาดย่อมเกิดขึ้นที่ข้างหน้าเวทีหมอลำซิ้ง ตีกันจนหัวล้างข้างแตก บ้างก็ต้องขึ้นโรงขึ้นศาลกันก็มี ตาเหนอยังจำคำสอนของแม่ได้ว่า
"พวกคนที่โดนคนอื่นเขาตีจนหัวล้างข้างแตกเหล่านั้น เป็นเพราะผลกรรมจากการเลี้ยงไก่ชน พวกที่ชอบเอาไก่ชนไปตีกันเพื่อการพนันย่อมได้รับผลของวิบากกรรมที่ตามมา"
ตาเหนอเชื่อคำสอนของแม่มาเสมอ แกเลยไม่คิดที่จะเลี้ยงไก่ชนไว้ในบ้าน
ตกตอนเย็นตาเหนอผู้เป็นเจ้าภาพในงานบุญนิมนต์พระมาสวดอภิธรรม พอสวดเสร็จ หลวงพ่อท่านขึ้นนั่งบนธรรมาสน์เพื่อเทศน์ ตาเหนอมากระซิบบอกท่านว่า
"เอาจักหน่อยเด้อ อย่าเว้าหลายครับ"
(ไม่ต้องพูดเยอะน่ะครับ)
หลังจากนั้นหลวงพ่อก็เริ่มเทศน์ว่า
"พระพุทธเจ้ามีเจตนาให้พระมาโปรดญาติโยมในงานศพนี้เพื่อให้เกิดธรรมสังเวชว่า สักวันหนึ่งเราก็ต้องจากโลกนี้ไป สิ่งที่เราไขว่คว้างพยายามตามหามาทั้งหมดในชีวิตของเราสุดท้ายแล้ว เราก็เอามันไปด้วยไม่ได้ตอนเราจากโลกนี้ไป ไม่ใช่ให้มาเล่นการพนัน อันนี้แทนที่จะได้บุญกลับได้บาปแทน"
เซียนพนันคนหนึ่งได้ยินเท่านั้นแหละ มันชักปืนออกมาจากเอวของมันยิงไปที่ธรรมาสน์ของหลวงพ่อ หลวงพ่อจึงต้องหยุดเทศน์ในตอนนั้น
น้าลีชายวัยหนุ่มตาเหลี่ยมไว้หนวดไว้เครา ผิวคล้ำเนื่องจากทำงานไถนากลางแดดจ้า บ้านน้าแกอยู่ข้างหน้าของบ้านตาเหนอ ภายในบ้านน้าแกมีจักรเย็บผ้า มีรถไถนาเดินตามจอดอยู่ข้างๆ เมียน้าแกทำงานเย็บผ้า
อยู่มาวันหนึ่งน้าลีเห็นควายตาเหนอนอนอยู่ หลายวันต่อมาก็ยังเห็นนอนอยู่ที่เดิม น้าลีเลยร้องถามตาเหนอด้วยความเป็นห่วงว่า
"ควายเจ่ามันเป็นหยัง ข่อยบ่เห็นเจ่าพามันไปกินหย่าหลายมื่อแหลว"
"จังวะ"(ก็นั้นน่ะสิ)
"ข่อยคึกว่ามันกำลังป่วยได่ เดี๋ยวข่อยสิเอิ้นหมอให้เอาเบาะ?"
"เอา เอา"
เนื่องจากควายตัวนี้นอนในท่าเดิมมาหลายวันแล้ว ความที่มันมีน้ำหนักมากเลยทำให้ขาของมันเจ็บ ต้องเรียกคนมาช่วยอย่างน้อยสี่คนถึงจะดันเพื่อพลิกเปลี่ยนท่านอนให้มันได้ ตาเหนอ,น้าลี,แล้วก็สัตวแพทย์คนที่พึ่งมาถึง น้าลีต้องไปเรียกให้เมียแกมาช่วยอีกแรง
เมียน้าลีเดินไปใกล้ขาหลังของไอ้ควายตัวนั้น สัตว์แพทย์บอกเตือนไม่ให้เดินไปใกล้บริเวณนั้น
"อย่าไปใกล้ตรงนั้น เดี๋ยวมันจะถีบเอา"
เธอรีบเดินถอยหลังออกมาทันทีทันใด สองคนดันส่วนหลัง อีกคนหนึ่งดึงเชือกที่ผูกเขาไอ้ควายตัวนี้ไว้เพื่อไม่ให้มันสะบัด อีกคนหนึ่งดันกระสอบขี้ควายให้ชิดหลังของมันเพื่อไม่ให้ส่วนหลังของมันรับน้ำหนักมากจนเกินไป
น้าลีพูดว่าควายตัวนี้มันกำลังเป็นไข้อยู่
"ดูจมูกของมันสิ ถ้ามันแห้งแสดงว่ามันเป็นไข้"
สัตวแพทย์ฉีดยาแก้ไข้ให้มันเสร็จก็กลับ แต่วันต่อๆมาตาลีกับเพื่อนบ้านต้องช่วยกันพลิกเปลี่ยนท่านอนให้ไอ้ควายตัวนี้วันละรอบ การพลิกไปพลิกมาทำให้ไอ้ควายตัวนี้มันกระเทิบออกไปอยู่ข้างนอกชายคาบ้านเลย
5วันให้หลังตาเหนอต้องเรียกหมอมาดูควายของแกอีกรอบ เพราะมีเลือดออกที่จมูกของมัน น้ำตาที่ไหลครอดเบ้าเพราะความเจ็บปวดทรมานมองแล้วทำให้รู้สึกเวทนาแกผู้พบเห็น
แต่ตาเหนอก็ยังพูดโกหกตัวเองว่า
"มันโดนปลายฟางแหลมๆแทงจมูกเอา"
คราวนี้สัตวแพทย์คนนี้พาพ่อค้าควายมาเป็นเพื่อนด้วย ลุงสัตวแพทย์บอกกับตาเหนอว่า
"ไม่คงไม่รอดแล้วแหละ"
และแล้วลุงสัตวแพทย์ก็ฉีดยาให้ควายตาเหนอเสร็จเรียบร้อย แล้วก็กลับไป น้าลีบอกกับตาเหนอว่า
"พ่อค้าคนนี้มันอยากให้เจ่าขายควายให้มัน
แหลวมันสิกดราคาเจ่า ให้ขายในราคาถูก โดยอ้างว่าควายเจ่ามันป่วยอยู่"
ไม่กี่วันหลังจากนั้น ควายตาเหนอมันก็ขาดใจตาย หลังจากนั้นสักพักก็มีรถแมค-โครมาขุดข้างๆศพควายตัวนั้น แล้วก็ดันมันลงหลุมฝังกลบ ด้วยความเสียใจที่สูญเสียควายอันเป็นที่รัก ตาเหนอจึงเดินคอตกไปที่ร้านสะดวกซื้อของยายถ้ำเพื่อซื้อเหล้าขาว40ดีกรีตรารวงข้าวกับเอ็ม150มาผสมกันดื่มพร้อมกับน้าลีที่แคร่หน้าบ้านเพื่อพูดจาปรับทุกข์กัน ในตอนที่รู้สึกเหนื่อยล้าจากการทำนาหรือเศร้าเสียใจจากการถูกเอารัดเอาเปรียบจากพ่อค้าข้าว เหล้าขาวกับยาเส้นเป็นเสมือนเครื่องย้อมใจชั้นเลิศของชาวนา
เนื้อเรื่อง
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ผลงานอื่นๆ ของ supricha66 ดูทั้งหมด
ผลงานอื่นๆ ของ supricha66
ความคิดเห็น